ประวัติชาไข่มุก

บับเบิลมิลก์ที หรือที่เรียกกันว่า เพิร์ลมิลก์ที (ชานมไข่มุก) หรือ ปัวป้ามิลก์ที เครื่องดื่มสัญชาติไต้หวัน พบในเมืองไถจง ไต้หวัน ในยุคปี 1980คำว่า "บับเบิล" ผันมาจากคำภาษาจีน ปัวป้า ที่แปลว่า "ขนาดใหญ่" เป็นคำทับศัพท์ที่มีความหมายว่า ขนาดใหญ่ เคี้ยวหนึบหนับ ลูกกลม ๆ ที่ทำมาจากแป้งมันสำปะหลังนี้เป็นที่นิยมนำมาใส่ในเครื่องดื่ม คนส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า "ไข่มุก" สูตรชานมไข่มุกส่วนมาก มักจะมีส่วนประกอบของชาผสมด้วยผลไม้ หรือนม ถ้าเป็นสูตรแบบปั่นก็มักจะใส่ผลไม้ หรือน้ำเชื่อมลงไปด้วย ทำให้น่าทานเหมือนเกล็ดหิมะ
เครื่องดื่มใส่ไข่มุกมีหลายสูตรหลายตำรับ แต่ละตำรับใช้ส่วนประกอบต่างกันไปมากมาย แต่สูตรที่เป็นที่นิยมที่สุดคือ ชานมไข่มุก และชาเขียวนชาไข่มุกแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ชารสผลไม้ และ ชานม แต่ก็ยังมีบางร้านค้านำเสนอเมนูแบบผสมเป็น "ชานมรสผลไม้" ในชานมส่วนใหญ่ มักใช้นมผง หรือ ครีมเทียม มีบางสูตรก็ใช้นมสดมาแทนได้เหมือนกัน หรืออาจจะเป็นสูตรน้ำผลไม้ปั่น ไอศกรีมปั่น เพิ่มไข่มุก ร้านเครื่องดื่มส่วนใหญ่ในอเมริกาขาย "นมปั่น" ด้วย ซึ่งหน้าตาก็คล้ายกับชาไข่มุกแต่ไม่มีส่วนประกอบของชาเลย ร้านอาหารเล็ก ๆ บางร้านเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ให้ความหวานแทน้ำผึ้ง อกาเว่


ชาไข่มุกสูตรดั้งเดิม ทำมาจาก ชาดำไต้หวันร้อน ใส่ไข่มุกที่มาจากแป้งมันสำปะหลัง เม็ดเล็ก ๆ นมข้นหวาน และน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง ต่อจากนั้นก็มีสูตรใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ต่างก็ชื่นชอบดื่มแบบเย็นกันมากกว่าดื่มแบบร้อน มีการทดลองเปลี่ยนประเภทของชาที่ใช้อยู่ตลอดเวลา แต่เดิมเริ่มจาก ชาเขียวไข่มุก ซึ่งใช้ ชาเขียว กลิ่นมะลิมาแทนชาดำที่เคยใช้ เพิ่มขนาดเม็ดไข่มุกให้ใหญ่ขึ้น มีการเพิ่มรสชาติของลูกพีช และผลพลัม ต่อมามีการเพิ่มรสชาติของผลไม้หลากหลายชนิด ในบางสูตร ถึงกับตัดชาออกไป ไม่เหลือส่วนผสมของชาไว้เลย เพื่อคงรสชาติผลไม้ไว้ให้ได้มากที่สุด มีการค้นพบว่า น้ำผลไม้เหล่านี้ ทำให้ไข่มุกเปลี่ยนสี (รวมถึง "เยลลี่ชิ้นเล็ก ๆ " ในเครื่องดื่มพวกทาโฮ คล้าย ๆ เต้าฮวย) เพราะฉะนั้น จึงมีการเลือกสีของไข่มุกให้เข้ากับเครื่องดื่มผลไม้แต่ละชนิด และเพื่อให้ได้รสชาติของชาดำร้อนหรือชาเขียวที่ดีขึ้น อาจมีการเติมผงสกัด น้ำผลไม้ เนื้อผลไม้ น้ำเชื่อม ลงไป เมื่อใส่รวมกันในกระบอกเชคเกอร์ หรือปั่นรวมกับน้ำแข็งในเครื่องปั่นรวม เพิ่มไข่มุกและส่วนผสมอื่น ๆอย่างเช่น วนิลลา น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม หรือ น้ำตาล
จนถึงวันนี้ ร้านชาไข่มุกเป็นที่นิยมอย่างมาก เช่นเดียวกับบาร์น้ำผลไม้ ในช่วงต้นของยุค 1990 บางร้านค้านิยมใช้แก้วพลาสติกฝาโดม บ้างก็มีเครื่องซีลพลาสติกให้ติดกับแก้ว วิธีการล่าสุดมีเครื่องกระบอกเชคเก้ออัตโนมัติ และซีลแน่นหนาให้มั่นใจว่าจะไม่มีการหกเลอะจนกว่าจะเจาะฝาดื่ม พร้อมกับมีหลอดขนาดใหญ่ที่ใช้ดูดไข่มุกขึ้นมาได้
ในไต้หวันทุกวันนี้ ผู้คนเรียกเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า "เพิร์ล มิลก์ที" คนจีนส่วนมากก็เรียกแบบนี้ แต่ชื่อภาษาอังกฤษของเครื่องดื่มชนิดนี้คือ "บับเบิล ที" หรือ "ปัวป้าที"ต้นกำเนิดของชานมไข่มุกที่เมืองไถจง ตอนกลางของเกาะไต้หวัน มีร้านชาจีนที่ขายเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นให้บริการแก่ลูกค้าท้องถิ่น ในราวต้นทศวรรษที่ 1988 คุณหลินชิ่วฮุย ผู้จัดการของร้านชาชุนสุ่ยถัง 春水堂 ได้สร้างสรรค์เครื่องดื่มชนิดใหม่ โดยนำเอาเม็ดแป้งมันสำปะหลังต้ม ที่เป็นวัตถุดิบในการทำขนมพื้นเมืองผสมลงไปในชา แล้วดื่มพร้อมกัน เนื่องจากรสชาติหวานมันของนม กลิ่นหอมของชา และความเหนียวหนึบนุ่มหนับของเม็ดแป้งผสมกันพอดี ปรากฏว่าเมื่อนำออกขายก็ได้รับความนิยมอย่างมากและยังแพร่หลายยิ่งขึ้นเมื่อวัฒนธรรมป็อปของไต้หวันเผยแพร่ออกมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกยุค 1990-2000 ก่อนจะซบเซาลงระยะหนึ่งหลังกระแสนิยมเครื่องดื่มสุขภาพแพร่สำหรับใครอยากทำทานเองจะได้คุมปริมาณน้ำตาลและ มั่นใจด้านความสะอาดเรามีวิธีทำชานมไข่มุกสำเร็จรูปมาฝากกันด้วยเทน้ำเปล่า 2 ลิตรลงใส่หม้อต้ม ต้มจนน้ำเดือดจัด จากนั้นก็เทไข่มุกดิบลงไป คนให้เม็ดไข่มุกแตกตัวคนไปเรื่อยๆ เพื่อไม้ให้เม็ดไข่มุกเหนียวติดกัน และระวังไม่ให้ไข่มุกไหม้ติดก้นหม้อ ใช้เวลาต้ม 30-40 นาที เมื่อครบเวลาแล้วก็ปิดไฟ ปิดฝาแช่ทิ้งไว้ในหม้อต้มประมาณ 20 นาทีจากนั้นก็เทน้ำออก แล้วล้างเมือกของไข่มุกออกให้หมด แล้วแช่น้ำธรรมดาต่อ รอจนไข่มุกเย็นสนิทกรองน้ำออกให้หมด แล้วเทน้ำเชื่อมลงไปเพื่อไม่ให้เม็ดไข่มุกแห้งติดกัน จากนั้นก็ตักใส่แก้ว เทาชานมลงไปได้เลย
เเหล่งที่มา
https://www.mangozero.com/what-the-boba-is/
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%81
https://voicetv.co.th/read/B1eivkqFm
ผู้จัดทำ
ด.ญ.ชญานิษฐ์ อภิพัฒนวงศ์ เลขที่ 39 ชั้น ป.6/3
ด.ญ.ญาณิศา อามีน เลขที่ 43 ชั้น ป.6/3
โรงเรียนอนุบาลระนอง
ควรจัดข้อความให้เหมือนกัน ภาพที่นำมาแทรกควรจัดรูปแบบ และแทรกภาพตามข้อมูล ไม่ใช่นำมาใส่ตอนท้ายบทความทั้งหมด
ตอบลบ